เกือบทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวันของเรา ล้วนกำลังเบียดเบียนสิ่งแวดล้อม ซึ่งเราทำสิ่งเหล่านี้บ่อยจนไม่ทันสังเกตว่า สิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในกิจกรรมเหล่านี้สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขนาดไหน ซึ่งรวมถึงสิ่งที่ทุกคนทำเป็นประจำอาจจะทุกวัน หรือ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ นั้นคือ “การซักผ้า”
การซักผ้า ถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตในสังคมปัจจุบัน เพราะความหอมสะอาดของเสื้อผ้าเป็นสิ่งสำคัญมากที่บ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่ตัวเองและช่วยเสริมบุคลิกภาพที่ดีให้แก่ผู้สวมใส่ด้วย ดังนั้น การที่ทุกคนซักผ้าจึงเป็นเรื่องปกติในการทำความสะอาดเสื้อผ้าให้สะอาดพร้อมใช้งาน แต่การซักผ้าในแต่ละครั้งกลับสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ กระบวนการซักผ้า คราบสกปรกของเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการซัก
1. กระบวนการซักผ้า
ในส่วนของกระบวนการซักผ้า โดยทั่วไปจะแบ่งเป็นการซักผ้าด้วยมือหรือใช้กะละมังรองน้ำนั่นเอง และอีกแบบ คือ การซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ซึ่งการซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ถือเป็นการซักผ้าที่ต้องใช้ปริมาณน้ำอย่างมาก โดยเฉลี่ยการซักผ้า 1 ครั้ง จะใช้น้ำถึง 100 ลิตร สำหรับโปรแกรมซักผ้าทั่วไป แต่หากใช้โปรแกรมซักแบบน้ำน้อย ก็สามารถลดปริมาณการใช้น้ำลงอยู่ที่ประมาณ 40 ลิตร/ครั้ง แต่ก็ยังถือว่าใช้ปริมาณมากอยู่ดี ส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้า ก็ยังใช้ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่สูง โดยเฉพาะหากใช้โปรแกรมซักผ้าด้วยน้ำอุ่น จะยิ่งใช้น้ำและไฟฟ้าสูงขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน การซักผ้าด้วยมือจะใช้น้ำประมาณครึ่งหนึ่งของการซักผ้าแบบเครื่องซักผ้าทั่วไป และไม่ใช้พลังงานไฟฟ้าด้วย ดังนั้น ก่อนซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้าจะต้องวางแผนและคำนวณจำนวนหรือน้ำหนักของเสื้อผ้าให้ดี ให้มีความคุ้มค่ากับน้ำและไฟฟ้าที่เสียไป หากจำนวนเสื้อผ้าที่ต้องการซักมีน้อยก็จะเปลืองน้ำเปลืองไฟ แต่ถ้าจำนวนเสื้อผ้าที่ต้องการซักด้วยเครื่องมีมากเกินไปก็อาจทำให้เสื้อผ้าไม่สะอาดได้ วิธีการแช่เสื้อผ้าก่อนซักก็สามารถช่วยประหยัดน้ำและไฟฟ้าได้เช่นกัน
2. คราบสกปรกของเสื้อผ้า
อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการซักผ้า คือ คราบสกปรกที่หลุดจากเนื้อผ้าระหว่างซัก ซึ่งคราบสกปรกเหล่านี้ คือ คราบเหงื่อไคล หรือคราบต่าง ๆ จากสภาพแวดล้อม โดยส่วนใหญ่มีองค์ประกอบของโปรตีนและไขมัน ซึ่งจะหลุดออกจากเนื้อผ้าได้ด้วยแรงกระแทกของน้ำหรือแรงขัดด้วยมือ การซักผ้าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผงซักฟอกมีสารลดแรงตึงผิวที่ดี โดยสารนี้จะช่วยลดแรงตึงผิวของน้ำ ทำให้น้ำกระจายตัวและแทรกซึมผ่านช่องว่างระหว่างเส้นใยผ้าได้ดีขึ้น ส่งผลให้คราบหลุดออกจากเส้นใยได้ง่ายขึ้น
คราบสกปรกที่มีองค์ประกอบของโปรตีนและไขมันที่หลุดจากเนื้อผ้านั้น ไม่ได้สลายหายไปไหน หรือถูกย่อยสลายให้มีโมเลกุลที่เล็กลงแต่อย่างใด คราบสกปรกในน้ำซักผ้ายังคงมีขนาดโมเลกุลที่ใหญ่ และจะถูกปล่อยลงสู่แหล่งน้ำทิ้งในที่สุด ซึ่งโปรตีนและไขมันที่มีขนาดใหญ่ ทำให้จุลินทรีย์ย่อยสลายในระบบนิเวศใช้เวลาในการย่อยสลายหรือบำบัดน้ำเสียนาน กว่าที่โปรตีนและไขมันที่มีขนาดโมเลกุลที่เล็กมาตั้งแต่แรก
แหล่งน้ำทิ้งที่มีองค์ประกอบของโปรตีนและไขมันปริมาณมาก จะมีค่าออกซิเจนในน้ำต่ำ ซึ่งบ่งชี้ว่า คุณภาพน้ำแย่และเน่าเสีย โดยเกิดจากการจับตัวกันของอนุภาคไขมันและโปรตีน ทำให้มีขนาดโมเลกุลใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะแหล่งน้ำทิ้งที่เป็นน้ำนิ่งจะยิ่งเน่าเสียได้ง่าย ซึ่งอนุภาคโปรตีนและไขมันเหล่านี้จะขีดขวางการถ่ายเทของก๊าซออกซิเจนระหว่างน้ำกับอากาศ และเป็นแหล่งอาหารของพืชน้ำชั้นต่ำ ทำให้เจริญเติบโตเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดการขีดขวางทางไหลของน้ำ ทำให้น้ำเน่าเสียและท่วมขังได้
ไม่ใช่แค่อนุภาคโปรตีนและไขมันเท่านั้น ที่เป็นแหล่งอาหารของพืชน้ำชั้นต่ำ แต่สารเคมีในผงซักฟอกเอง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เร่งให้พืชน้ำเจริญเติบโตเร็วกว่าปกติ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสุดท้ายที่ทำให้การซักผ้าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยผงซักฟอกบางแบรนด์จะมีสารประกอบฟอสเฟตอยู่ประมาณร้อยละ 30 – 50 ซึ่งสารประกอบฟอสเฟตจะช่วยรักษาสภาพน้ำให้มีความเป็นด่าง ช่วยกระจายไขมันหรือน้ำมัน ทำให้น้ำมันแขวนลอยบนน้ำได้ดีขึ้น แต่การที่น้ำมันแขวนลอยในแหล่งน้ำทิ้งได้ดีขึ้นนั่น จะยิ่งปิดกั้นการถ่ายเทของก๊าซออกซิเจนและแสงแดด ทำให้น้ำยิ่งเน่าเสีย นอกจากนี้ สารประกอบฟอสเฟสจะรวมตัวกับไอออนโลหะในน้ำซักผ้ากลายเป็นสารประกอบเชิงซ้อน เพื่อปรับความกระด้างของน้ำซักผ้าให้อ่อนลง ทำให้คราบสกปรกหลุดง่ายขึ้น แต่สารประกอบเชิงซ้อนนี้มีโลหะสะสมอยู่ จึงอาจเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำได้
การเจริญเติบโตที่เร็วกว่าปกติของสาหร่ายและพืชน้ำชั้นต่ำ ไม่ได้มีผลกระทบแค่ขีดขวางการถ่ายเทก๊าซออกซิเจนหรือทางไหลของน้ำเท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มอินทรียวัตถุในน้ำ ซึ่งหากพืชน้ำและสาหร่ายที่มีปริมาณมากขึ้นเหล่านี้ตายลง ซากพืชจะทับถมกันใต้แหล่งน้ำทำให้คูคลองตื้นเขินมากขึ้น รวมทั้งเหล่าจุลินทรีย์จะต้องใช้ก๊าซออกซิเจนในน้ำมากกว่าปกติเพื่อย่อยสลายอินทรียวัตถุเหล่านี้ ส่งผลให้ปริมาณก๊าซออกซิเจนในน้ำยิ่งต่ำลงไปอีก และที่สำคัญการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในแหล่งน้ำทิ้งทั่วไป เป็นการย่อยสลายแบบใช้ออกซิเจน ซึ่งผลที่ได้คือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
3. ผงซักฟอก หรือ ผลิตภัณฑ์ซักผ้า ที่ใช้ในการซัก
การหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม อย่าง “ผลิตภัณฑ์ Bio Photon” ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตเอนไซม์โปรติเอสและไลเปส ไปทำหน้าที่ย่อยคราบสกปรกที่มีองค์ประกอบของโปรตีนและไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ที่สำคัญเอนไซม์ทั้งสองชนิดถูกสร้างให้มีความทนทานและคงสภาพได้นาน เมื่อปล่อยน้ำซักผ้าลงสู่แหล่งน้ำทิ้ง เอนไซม์ของ “Bio Photon” ก็ยังสามารถช่วยย่อยโมเลกุลโปรตีนและไขมันในแหล่งน้ำทิ้งได้ด้วย ช่วยให้การบำบัดน้ำเสียด้วยจุลินทรีย์ย่อยสลายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สมกับที่เป็นการ ซักผ้าแบบรักษ์โลก
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ “Bio Photon” ยังใช้เทคโนโลยีการผลิตด้วยสารลดแรงตึงผิวที่มีประสิทธิภาพ ทำให้คราบสกปรกที่เกาะแน่นหลุดออกจากเนื้อผ้าได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ทำลายสภาพและสีของเส้นใย ทำให้เสื้อผ้าสะอาด สีไม่ซีด ไม่ว่าจะผ่านการซักสักกี่ครั้งก็ตาม และผลิตภัณฑ์ “Bio Photon” ยังมีบรรจุภัณฑ์แบบเติม ที่เป็นบรรจุภัณฑ์ขนาดใหญ่ เป็นการลดขยะบรรจุภัณฑ์และลดการใช้พลาสติกด้วย “ผลิตภัณฑ์ซักผ้า Bio Photon” เหมาะกับการใช้งานในทุกสถานที่ ไม่ว่าจะที่บ้าน โรงแรม โรงงาน หรือสถานประกอบการอื่น ๆ โดยเฉพาะกับสถานประกอบการหรือโรงแรมที่ต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีบ่อบำบัดน้ำเสียด้วยจุลินทรีย์ ซึ่งการใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้า “Bio Photon” สามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่แบรนด์ได้ และลดต้นทุนด้านการซักผ้าและการบำบัดน้ำเสียด้วย มองหาของดีสำหรับ ซักผ้าแบบรักษ์โลก แบบนี้ ไม่มี ไม่ได้แล้ว
ผลิตภัณฑ์ Bioway สกัดเอนไซม์จากธรรมชาติ ไม่มีสารเคมี รักษาสิ่งแวดล้อม เป็นนวัตกรรมจากฝีมือนักวิจัยไทย ที่ได้รับการพิสูจน์คุณภาพและความพึงพอใจจากลูกค้ามายาวนานกว่า 10 ปี
หากต้องการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Line ID : https://lin.ee/BAJDB0i
Tel. : 081-011-9993, 081-997-2204
Facebook : BiowayNature https://goo.gl/pthpfc
Ig : https://www.instagram.com/biowaynature2020